บรรยากาศการลงทุนในปี 2023 ดูเหมือนจะสดใสขึ้นจากปีที่แล้วอย่างชัดเจน เพราะ เปิดปีใหม่มาได้ไม่ถึง 1 เดือน ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ปรับเพิ่มขึ้นได้ราวๆ 6%
ด้านตลาดตราสารหนี้เองก็ปรับขึ้นไม่แพ้กัน หลังจากที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลงจากจุดสูงสุดราวๆ 0.8% แตะระดับ 3.4% ทำให้ดัชนีตลาดตราสารหนี้สร้างผลตอบแทนได้ +3.8% สำหรับพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนความน่าเชื่อถือสูง และกว่า 4% สำหรับหุ้นกู้เอกชนผลตอบแทนสูง (High Yield) นอกจากนั้นทั้งพันธบัตรรัฐบาลและหุ้นกู้เอกชนล้วนปรับขึ้นมาแล้วมากกว่า 11% หากนับจากจุดต่ำสุดในเดือนต.ค.ปี 2022 (ข้อมูล ณ วันที่ 25 ม.ค. 2023)
มองไปข้างหน้า ตราสารหนี้ยังมีโอกาสปรับขึ้นต่อได้ เนื่องจากบอนด์ยีลด์มีแนวโน้มที่จะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ FED จะลดความเร็วลงเมื่อเทียบกับปี 2022 ที่ FED ได้ขึ้นดอกเบี้ยจาก 0-0.25% มาอยู่ที่ 4.25-4.5% ในปี 2023 ตลาดคาดว่า FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียงครั้งละ 0.25% เริ่มตั้งแต่การประชุมวันที่ 31 ม.ค. – 1 ก.พ. ที่จะถึงนี้ และดอกเบี้ยจะทำจุดสูงสุดของวัฏจักรรอบนี้อยู่ที่ 5% ภายในเดือนพ.ค. หลังจากนั้น FED จะคงดอกเบี้ยในระดับสูง ก่อนที่จะมีโอกาสลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค.
สาเหตุที่ FED จะสามารถชะลอการขึ้นดอกเบี้ยได้อย่างสบายใจ คือ ตัวเลขเศรษฐกิจทั้งภาคการบริโภคและภาคการผลิตเริ่มแสดงให้เห็นถึงผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ย โดยล่าสุดยอดค้าปลีก เดือนธันวาคมส่งสัญญาณการอ่อนแรงชัดเจน หดตัว -1.1% เมื่อเทียบเดือนต่อเดือน
โดยค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เช่น กลุ่มร้านอาหาร เฟอร์นิเจอร์ และเสื้อผ้าก็ต่างปรับตัวลง นอกจากนั้นตัวเลขเงินเฟ้อทั่วไปเดือนธันวาคม ขยายตัว 6.5% เมื่อเทียบปีต่อปี จากเดือนก่อนที่ 7.1% จากราคาพลังงานที่เป็นตัวฉุดสำคัญ รวมไปถึงราคารถยนต์โดยเฉพาะมือหนึ่ง ที่ปรับลงครั้งแรกในรอบเกือบ 2 ปี ซึ่งตอกย้ำว่าการขึ้นดอกเบี้ยแรงๆ ของ FED ในปีที่แล้วเริ่มส่งผลต่อเงินเฟ้อให้ลดลงจริง
สำหรับประเด็นเศรษฐกิจถดถอยที่เคยเป็นความเสี่ยงหลักของโลกก่อนหน้านี้ มองว่าจะไม่รุนแรง หรืออาจมีโอกาสรอดพ้นจากภาวะถดถอยได้ หลังจากที่เศรษฐกิจใหญ่เบอร์สองของโลกอย่างจีนเปิดประเทศเร็วกว่าคาด ซึ่งจะเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลก